พฤติกรรมผู้บริโภคและสงครามแบรนด์ในตลาด Home Care ไทย
ตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลบ้าน (Home Care) ในประเทศไทยในปี 2024 มีลักษณะเด่นคือการเติบโตของปริมาณการขายปลีก (Retail Volume) ที่ชะลอตัว แต่มีการเติบโตของมูลค่าตลาดในปัจจุบัน (Retail Current Value) ที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยมูลค่าตลาดรวมของ Home Care ในปี 2024 อยู่ที่ 64,088 ล้านบาท
1. พฤติกรรมของผู้บริโภค: ความต้องการนวัตกรรม ความยั่งยืน และความสะดวกสบาย
พฤติกรรมผู้บริโภคชาวไทยในปี 2024 ได้รับอิทธิพลจากหลายปัจจัย ทั้งรายได้ที่ใช้จ่ายได้เพิ่มขึ้น (Disposable Incomes) การขยายตัวของความเป็นเมือง (Urbanisation) และความต้องการที่จะรักษาความสะอาดและสุขอนามัยที่ดี
1.1. การแสวงหานวัตกรรมและประสิทธิภาพ (Efficacy and Innovation) ผู้บริโภคต้องการโซลูชั่นการทำความสะอาดที่มีประสิทธิภาพและเป็นนวัตกรรมใหม่ที่ตอบโจทย์ชีวิตที่เร่งรีบและความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไป
• ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยม: ความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเอนกประสงค์ (multi-purpose cleaning products), ผลิตภัณฑ์รูปแบบเข้มข้น (concentrated references) และผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติหรือพืช (natural and plant-based cleaning agents)
• ความอ่อนไหวต่อราคา: แม้ว่าแรงกดดันด้านเงินเฟ้อจะลดลงเมื่อเทียบกับปี 2022 และ 2023 แต่ผู้บริโภคจำนวนมากยังคงระมัดระวังในการตัดสินใจซื้อ และคาดว่าความอ่อนไหวต่อราคาน่าจะยังคงอยู่ต่อไปในช่วงปี 2025-2029 โดยผู้บริโภคจะมองหาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนในราคาที่เอื้อมถึง
1.2. เทรนด์ด้านความยั่งยืน (Sustainability) ความยั่งยืนเป็นเทรนด์ที่ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างมากในปี 2024
• ความต้องการผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม: ผู้บริโภคแสวงหาผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดจากธรรมชาติและพืชที่ไม่เป็นอันตรายจากสารเคมี ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น เช่น สารทำความสะอาดที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ (biodegradable) และบรรจุภัณฑ์แบบรีฟิล
• เงื่อนไขสำคัญ: อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคไม่ได้ละทิ้งความต้องการด้านประสิทธิภาพ (efficacy) และราคายังต้องสมเหตุสมผลด้วย ดังนั้น แบรนด์ที่สามารถนำเสนอโซลูชั่นที่ยั่งยืน มีส่วนผสมจากพืช มีประสิทธิภาพ และมีราคาที่สมเหตุสมผล จะเป็นที่ชื่นชอบ
1.3. ความสะดวกสบาย (Convenience) ความสะดวกสบายเป็นอีกหนึ่งเทรนด์สำคัญที่ขับเคลื่อนตลาด
• ผลิตภัณฑ์ประหยัดเวลา: มีความต้องการสูงสำหรับนวัตกรรมการทำความสะอาดที่ช่วยประหยัดเวลา เช่น ผ้าเช็ดทำความสะอาดสำเร็จรูป (pre-treated cleaning wipes) และอุปกรณ์ทำความสะอาดบ้านอัจฉริยะ (smart home cleaning devices)
• ผลิตภัณฑ์เอนกประสงค์: ความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับงานทำความสะอาดหลายอย่าง แสดงให้เห็นถึงความต้องการความสะดวกสบาย เช่น ผลิตภัณฑ์ดูแลพื้นผิว (surface care) รวมถึงน้ำยาทำความสะอาดห้องน้ำและน้ำยาทำความสะอาดเอนกประสงค์
• พฤติกรรมการซื้อ: การย้ายไปซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ (Retail e-commerce) เช่น Lazada และ Shopee รวมถึงการซื้อจากร้านค้าปลีกสะดวกซื้อ (convenience retailers) ก็สะท้อนถึงความต้องการความสะดวกในการช้อปปิ้งเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ซูเปอร์มาร์เก็ตและไฮเปอร์มาร์เก็ตยังคงเป็นช่องทางการจัดจำหน่ายที่สำคัญที่สุด โดยคิดเป็นสัดส่วนครึ่งหนึ่งของยอดขายรวม เนื่องจากผู้บริโภคจำนวนมากยังคงต้องการตรวจสอบสินค้าด้วยตนเอง
2. การวิเคราะห์ภาพรวมของ Brand ที่ครอง Market Share (Competitive Landscape)
ตลาด Home Care ในปี 2024 มีการแข่งขันที่รุนแรงระหว่างแบรนด์ที่ตั้งมานานและผู้เล่นหน้าใหม่ โดยมีผู้เล่นหลักที่เป็นบริษัทข้ามชาติครองส่วนแบ่งตลาดอย่างชัดเจน
2.1. ผู้นำตลาด 3 อันดับแรก (Company Shares - Retail Value RSP - 2024)
บริษัทข้ามชาติ 3 อันดับแรกครองส่วนแบ่งมูลค่าตลาด Home Care ในประเทศไทยรวมกันถึงครึ่งหนึ่ง:
1. Unilever Thai Holdings Ltd (30.3%): เป็นผู้นำในตลาดรวม โดยมีตำแหน่งที่แข็งแกร่งในหมวดหมู่ที่ใหญ่ที่สุดคือ Laundry Care (ผลิตภัณฑ์ซักผ้า) และเป็นผู้นำในหมวดหมู่ Dishwashing (ผลิตภัณฑ์ล้างจาน)
2. Procter & Gamble Thailand Co Ltd (11.3%): เป็นผู้เล่นชั้นนำเช่นกัน โดยหลักมาจากตำแหน่งที่แข็งแกร่งในหมวดหมู่ Laundry Care
3. SC Johnson & Son (Thailand) Co Ltd (8.9%): เป็นผู้นำในหลายหมวดหมู่ เช่น Air Care (ผลิตภัณฑ์ปรับอากาศ), Home Insecticides (ผลิตภัณฑ์กำจัดแมลงในบ้าน) และ Toilet Care (ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดห้องน้ำ)
2.2. แบรนด์เด่นที่ครองตลาด (Brand Shares - Retail Value RSP - 2024)
เมื่อพิจารณาในระดับแบรนด์ จะเห็นว่าผลิตภัณฑ์ซักผ้าซึ่งเป็นหมวดหมู่ที่ใหญ่ที่สุด (มีมูลค่า 39,894.2 ล้านบาท) มีอิทธิพลอย่างมากต่อส่วนแบ่งตลาดรวม:
อันดับ
แบรนด์ (Brand)
ส่วนแบ่งตลาด (Share)
1
Breeze
14.7%
2
Downy
10.0%
3
Hygiene
5.5%
4
Fineline
5.4%
5
Omo
5.1%
6
Sunlight
5.0%
7
Comfort
4.9%
8
Attack
3.7%
9
Glade
3.1%
10
Pao
2.8%
สรุปภาพรวมการเติบโตของตลาด Home Care (2025-2029)
คาดว่าตลาด Home Care โดยรวมจะยังคงเติบโตต่อไปทั้งในแง่ของปริมาณและมูลค่า โดยหมวด Surface Care (ผลิตภัณฑ์ดูแลพื้นผิว) คาดว่าจะมีการเติบโตที่แข็งแกร่งที่สุด แบรนด์จะต้องลงทุนในการวิจัยและพัฒนาเพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เข้มข้นขึ้น เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และมีกลิ่นหอมน่าดึงดูดใจ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ซับซ้อนมากขึ้น
พฤติกรรมผู้บริโภคและสงครามแบรนด์ในตลาด Home Care ไทย
ตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลบ้าน (Home Care) ในประเทศไทยในปี 2024 มีลักษณะเด่นคือการเติบโตของปริมาณการขายปลีก (Retail Volume) ที่ชะลอตัว แต่มีการเติบโตของมูลค่าตลาดในปัจจุบัน (Retail Current Value) ที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยมูลค่าตลาดรวมของ Home Care ในปี 2024 อยู่ที่ 64,088 ล้านบาท
1. พฤติกรรมของผู้บริโภค: ความต้องการนวัตกรรม ความยั่งยืน และความสะดวกสบาย
พฤติกรรมผู้บริโภคชาวไทยในปี 2024 ได้รับอิทธิพลจากหลายปัจจัย ทั้งรายได้ที่ใช้จ่ายได้เพิ่มขึ้น (Disposable Incomes) การขยายตัวของความเป็นเมือง (Urbanisation) และความต้องการที่จะรักษาความสะอาดและสุขอนามัยที่ดี
1.1. การแสวงหานวัตกรรมและประสิทธิภาพ (Efficacy and Innovation) ผู้บริโภคต้องการโซลูชั่นการทำความสะอาดที่มีประสิทธิภาพและเป็นนวัตกรรมใหม่ที่ตอบโจทย์ชีวิตที่เร่งรีบและความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไป
• ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยม: ความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเอนกประสงค์ (multi-purpose cleaning products), ผลิตภัณฑ์รูปแบบเข้มข้น (concentrated references) และผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติหรือพืช (natural and plant-based cleaning agents)
• ความอ่อนไหวต่อราคา: แม้ว่าแรงกดดันด้านเงินเฟ้อจะลดลงเมื่อเทียบกับปี 2022 และ 2023 แต่ผู้บริโภคจำนวนมากยังคงระมัดระวังในการตัดสินใจซื้อ และคาดว่าความอ่อนไหวต่อราคาน่าจะยังคงอยู่ต่อไปในช่วงปี 2025-2029 โดยผู้บริโภคจะมองหาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนในราคาที่เอื้อมถึง
1.2. เทรนด์ด้านความยั่งยืน (Sustainability) ความยั่งยืนเป็นเทรนด์ที่ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างมากในปี 2024
• ความต้องการผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม: ผู้บริโภคแสวงหาผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดจากธรรมชาติและพืชที่ไม่เป็นอันตรายจากสารเคมี ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น เช่น สารทำความสะอาดที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ (biodegradable) และบรรจุภัณฑ์แบบรีฟิล
• เงื่อนไขสำคัญ: อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคไม่ได้ละทิ้งความต้องการด้านประสิทธิภาพ (efficacy) และราคายังต้องสมเหตุสมผลด้วย ดังนั้น แบรนด์ที่สามารถนำเสนอโซลูชั่นที่ยั่งยืน มีส่วนผสมจากพืช มีประสิทธิภาพ และมีราคาที่สมเหตุสมผล จะเป็นที่ชื่นชอบ
1.3. ความสะดวกสบาย (Convenience) ความสะดวกสบายเป็นอีกหนึ่งเทรนด์สำคัญที่ขับเคลื่อนตลาด
• ผลิตภัณฑ์ประหยัดเวลา: มีความต้องการสูงสำหรับนวัตกรรมการทำความสะอาดที่ช่วยประหยัดเวลา เช่น ผ้าเช็ดทำความสะอาดสำเร็จรูป (pre-treated cleaning wipes) และอุปกรณ์ทำความสะอาดบ้านอัจฉริยะ (smart home cleaning devices)
• ผลิตภัณฑ์เอนกประสงค์: ความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับงานทำความสะอาดหลายอย่าง แสดงให้เห็นถึงความต้องการความสะดวกสบาย เช่น ผลิตภัณฑ์ดูแลพื้นผิว (surface care) รวมถึงน้ำยาทำความสะอาดห้องน้ำและน้ำยาทำความสะอาดเอนกประสงค์
• พฤติกรรมการซื้อ: การย้ายไปซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ (Retail e-commerce) เช่น Lazada และ Shopee รวมถึงการซื้อจากร้านค้าปลีกสะดวกซื้อ (convenience retailers) ก็สะท้อนถึงความต้องการความสะดวกในการช้อปปิ้งเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ซูเปอร์มาร์เก็ตและไฮเปอร์มาร์เก็ตยังคงเป็นช่องทางการจัดจำหน่ายที่สำคัญที่สุด โดยคิดเป็นสัดส่วนครึ่งหนึ่งของยอดขายรวม เนื่องจากผู้บริโภคจำนวนมากยังคงต้องการตรวจสอบสินค้าด้วยตนเอง
2. การวิเคราะห์ภาพรวมของ Brand ที่ครอง Market Share (Competitive Landscape)
ตลาด Home Care ในปี 2024 มีการแข่งขันที่รุนแรงระหว่างแบรนด์ที่ตั้งมานานและผู้เล่นหน้าใหม่ โดยมีผู้เล่นหลักที่เป็นบริษัทข้ามชาติครองส่วนแบ่งตลาดอย่างชัดเจน
2.1. ผู้นำตลาด 3 อันดับแรก (Company Shares - Retail Value RSP - 2024)
บริษัทข้ามชาติ 3 อันดับแรกครองส่วนแบ่งมูลค่าตลาด Home Care ในประเทศไทยรวมกันถึงครึ่งหนึ่ง:
1. Unilever Thai Holdings Ltd (30.3%): เป็นผู้นำในตลาดรวม โดยมีตำแหน่งที่แข็งแกร่งในหมวดหมู่ที่ใหญ่ที่สุดคือ Laundry Care (ผลิตภัณฑ์ซักผ้า) และเป็นผู้นำในหมวดหมู่ Dishwashing (ผลิตภัณฑ์ล้างจาน)
2. Procter & Gamble Thailand Co Ltd (11.3%): เป็นผู้เล่นชั้นนำเช่นกัน โดยหลักมาจากตำแหน่งที่แข็งแกร่งในหมวดหมู่ Laundry Care
3. SC Johnson & Son (Thailand) Co Ltd (8.9%): เป็นผู้นำในหลายหมวดหมู่ เช่น Air Care (ผลิตภัณฑ์ปรับอากาศ), Home Insecticides (ผลิตภัณฑ์กำจัดแมลงในบ้าน) และ Toilet Care (ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดห้องน้ำ)
2.2. แบรนด์เด่นที่ครองตลาด (Brand Shares - Retail Value RSP - 2024)
เมื่อพิจารณาในระดับแบรนด์ จะเห็นว่าผลิตภัณฑ์ซักผ้าซึ่งเป็นหมวดหมู่ที่ใหญ่ที่สุด (มีมูลค่า 39,894.2 ล้านบาท) มีอิทธิพลอย่างมากต่อส่วนแบ่งตลาดรวม:
อันดับ แบรนด์ (Brand) ส่วนแบ่งตลาด (Share) 1 Breeze 14.7% 2 Downy 10.0% 3 Hygiene 5.5% 4 Fineline 5.4% 5 Omo 5.1% 6 Sunlight 5.0% 7 Comfort 4.9% 8 Attack 3.7% 9 Glade 3.1% 10 Pao 2.8%
สรุปภาพรวมการเติบโตของตลาด Home Care (2025-2029)
คาดว่าตลาด Home Care โดยรวมจะยังคงเติบโตต่อไปทั้งในแง่ของปริมาณและมูลค่า โดยหมวด Surface Care (ผลิตภัณฑ์ดูแลพื้นผิว) คาดว่าจะมีการเติบโตที่แข็งแกร่งที่สุด แบรนด์จะต้องลงทุนในการวิจัยและพัฒนาเพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เข้มข้นขึ้น เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และมีกลิ่นหอมน่าดึงดูดใจ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ซับซ้อนมากขึ้น